วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555

ฮีตสิบสอง..


บุญประเพณีสิบสองเดือน
การถือปฏิบัติตามแบบแผนการดำเนินชีวิตทั้ง  12  เดือน  ถือเป็นกลไกการถ่ายทอดบุญผ่านประเพณี  เพื่อหล่อหลอมพฤติกรรมของคนในสังคมโดยมีอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ไท-ลาว เป็นขอบเขตทางวัฒนธรรมที่ยึดโยงให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข  โดยมีรายละเอียดสังเขปดังนี้
1.  เดือนเจียง (เดือนอ้าย) ประเพณีบุญเข้ากรรม  ให้นิมนต์พระภิกษุสงฆ์เข้ากรรม (ปริวาสกรรม) เพื่อให้พระภิกษุสงฆ์ที่ได้กระทำความผิดพระธรรมวินัยระหว่างจำพรรษาได้สารภาพความผิดของตนต่อหน้าคณะสงฆ์ในโบสถ์ สำหรับประชาชนหรือฆราวาสให้ทำบุญเลี้ยงผีแผน      ผีฟ้า ผีมด และผีบรรพบุรุษหรือผู้ล่วงลับไปแล้ว
ความหมาย  เดือนอ้ายในทางจันทรคติหรือเดือนธันวาคม หลังจากพระภิกษุสงฆ์ออกพรรษาแล้วให้พระภิกษุสงฆ์ได้สารภาพสำนึกผิด  จากการละเว้นหรือละเมิดศีลพระ  227  ข้อ  ต่อหน้าคณะสงฆ์ด้วยกันทั้งนี้เพื่อฝึกการยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น รู้สึกสำนึกผิดในความบกพร่องของตน  กล้าพอที่จะสารภาพความผิดที่ตนได้กระทำลงไปทั้งในที่ลับหรือที่แจ้งซึ่งคนอื่นไม่พบเห็น  เกิดความละอายและเกรงกลัวต่อบาปที่ได้กระทำลงไปทั้งต่อหน้าและลับหลังสาธารณชน
2.  เดือนยี่ ทำบุญ “คูณข้าว” (บุญคุณข้าว) ให้นิมนต์พระสงฆ์มาสวดมุงคุน (สวดมงคล) ตอนเย็น และตอนเช้าหลังจากพระฉันเช้าแล้วก็ทำพิธีสู่ขวัญข้าว เพื่อเป็นสิริมงคลให้แก่ข้าวเปลือก
ความหมาย ในเดือนยี่ เป็นเดือนที่เก็บเกี่ยวและนวดข้าวเสร็จแล้ว  จะต้องร่วมกันทำบุญเพื่อสู่ขวัญเพื่อให้เกิดสำนึกในบุญคุณของข้าวก่อนที่จะเอาไว้กินหรือขาย บางหมู่บ้านจะเรียกว่า
“บุญกุ้มข้าวใหญ่”  (กุ้ม หมายความว่า กอง)  คือให้แต่ละครอบครัวเอาข้าวเปลือกของตนมากองรวมกันที่วัด แล้วนิมนต์พระสงฆ์มาทำพิธีสู่ขวัญเพื่อให้เป็นสิริมงคลแก่ข้าว  จากนั้นจะถวายข้าวเปลือกให้กับวัดเพื่อนำรายได้ไปบูรณะซ่อมแซม ศาสนสถานต่อไป
3.  เดือนสาม ในมื้อเพ็ง (วันเพ็ญ) ทำบุญข้าวจี่  ทำบุญมาฆบูชา เริ่มพิธีทำบุญข้าวจี่โดยในตอนเช้าให้เอาข้าวเหนียวมาปั้นเป็นก้อนขนาดเท่ากำมือแล้วชุบชโลมทาด้วยน้ำอ้อย  นำไปปิ้งหรือจี่พอเกรียมแล้วชุบด้วยไข่ ย่างไฟจนสุกแล้วใส่ภาชนะไปตั้งไว้ในหอแจก (ศาลาวัด) นิมนต์พระมาให้ศีลให้พรแล้วเอาข้าวจี่ใส่บาตรนำถวายแด่พระสงฆ์พร้อมด้วยอาหารอื่น ๆ เมื่อพระฉันเสร็จแล้ว  มีการแสดงพระธรรมเทศนา  ข้าวจี่ที่เหลือจากพระฉันให้แบ่งกันรับประทานถือว่าจะมีโชคดี ความหมาย  เดือนนี้เป็นฤดูหนาว  แต่ละครอบครัวได้ก่อไฟผิงจะมีถ่านไฟคุแดง  จึงเหมาะกับการทำข้าวจี่  เพื่อเพิ่มรสชาติให้น่ารับประทานจึงใส่ไข่ และน้ำอ้อยผสมเข้าไป  จึงเป็นประเพณีบุญข้าวจี่  ดังคำกล่าวว่า “เดือนสามค้อย เจ้าหัว (เจ้าอาวาส) คอยปั้นข้าวจี่ ข้าวจี่บ่มีน้ำอ้อย จัวน้อย(เณร) เช็ดน้ำตา”  ณ ปัจจุบันประชาชนบางคนในจังหวัดมหาสารถามได้ทำยึดขายเป็นอาชีพได้
4.  เดือนสี่ ทำบุญพระเวส (ผะเหวด)  ฟังเทศน์มหาชาติ  เรื่องพระเวสสันดรชาดก เนื่องมาจากพระคัมภีร์มาลัยหมื่นและมาลัยแสนว่า ถ้าผู้ใดปรารถนาที่จะได้พบพระศรีอาริย       เมตไตรย์หรือเข้าถึงศาสนาของพระพุทธองค์แล้ว  จงอย่างฆ่าตีบิดามารดา  สมณพราหมณ์ อาจารย์ อย่ายุยงให้พระสงฆ์แตกสามัคคีกัน  และให้ฟังเทศน์เรื่อพระมหาเวสสันดรชาดกให้จบภายในวันเดียว เป็นต้นเหตุให้ทำบุญนี้ขึ้นทุกปี  ในระหว่างงานบุญก็จะมีกลุ่มคนหรือคณะพากันรวบรวมจตุปัจจัยจากในชุมชนแล้วพากันแห่ออกมาถวายพระที่เทศน์ เรียกว่า “กัณฑ์หลอน” ความหมาย เป็นกุศโลบายหลายอย่างในประเพณีนี้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามัคคีของคนในชุมชน เพราะว่า มีกิจกรรมมากมายไม่ว่าจะเป็นการผูกผ้าผะเหวดรอบโบสถ์  การแห่ผะเหวดเข้าเมือง  การแห่ข้าวพันก้อน เป็นต้น  และการให้ทานโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน  เพราะได้รับฟังเทศน์เรื่องพระเวสสันดรชาดก ซึ่งเกี่ยวกับการให้ทาน  การไม่โลภมาก และยังมีการถวายที่เรียกว่า “กัณฑ์หลอน”  เป็นการถวายพระที่ไม่รู้ว่าจะเป็นพระรูปใดที่จะได้รับการถวาย  ทุกวันนี้มีการทำทุกปีที่จังหวัดร้อยเอ็ด ภายใต้คำขวัญว่า “กินข้าวปุ้น บุญผะเหวด ฟังเทศน์มหาชาติ”
5.  เดือนห้า เทศกาลสงกรานต์หรือตรุษสงกรานต์ ให้สรงน้ำพระพุทธรูป  พระผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ  ให้ไปเก็บดอกไม้ป่ามาบูชาพระ ซึ่งถือว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ มีกิจกรรมมากมายไม่ว่าจะเป็นสรงน้ำพระพุทธรูปทั้งที่วัดและที่บ้าน สรงน้ำพระสงฆ์  การรดน้ำ  ปัจจุบันได้มีการผนวกเข้าเป็นวันครอบครัว  ประเพณีนี้พบเห็นตั้งแต่มณฑลยูนาน (สิบสองปันนา) ลาว ไทย พม่า เวียดนาม และกัมพูชา  ถือเป็นการสร้างความสมัครสมานสามัคคี เคารพญาติผู้ใหญ่  นอบน้อมถ่อมตน และให้เกียรติซึ่งกันและกันอีกด้วย
6.  เดือนหก มีประเพณี  2  อย่างคือ 1) บุญวันวิสาขะบูชา  มีการเทศน์ตลอดกลางวัน กลางคืนมีการเวียนเทียนที่วัด และ 2) บุญบั้งไฟ  เพื่อถวายพญาแถน และเป็นพิธีขอฝนก่อนถึงฤดูการทำนา มักผนวกเข้ากับการบวชนาคพร้อม ๆ กันไปด้วย  มีกิจกรรมรื่นเริงสนุกสนาน เช่น การแข่งขันบั้งไฟ  ขบวนแห่บั้งไฟ  การฟ้อน  การเซิ้ง  ตอนกลางคืนมักมหรสพ  เช่น  หมอลำ  การตีกลองเอาเสียงดังแข่งขันกัน เรียกว่า “กลองเส็ง” และการแสดงพื้นเมืองอื่น ๆ ความหมาย  บุญบั้งไฟ  ถือว่าเป็นประเพณีหลักในเดือนนี้  เพื่อจุดขึ้นไปบูชาพญาแถนซึ่งเป็นเทพแห่งฝนช่วยดลบันดาลให้ฝนตกต้องตามฤดูกาลและให้มีปริมาณน้ำฝนเพียงพอกับการเพาะปลูกข้าว  อีกทั้งเพื่อเตือนให้รู้ตัวว่าฤดูการทำนากำลังใกล้จะมาถึง  สังเกตได้จากการจับดินโคนนามาทาถูตัวเนื้อตัว  เรียกว่า “ลงตม” และการเคารพธรรมชาติสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบกาย       เป็นต้น
7.  เดือนเจ็ด ทำบุญซำฮะ (ล้าง) เป็นพิธีการบูชาบรรพบุรุษ เหล่าเทวดาอาฮักษ์  หลักเมือง (วีรบุรุษ)  หลักบ้าน ผีพ่อผีแม่ ผีปู่ตา ผีเมือง (บรรพบุรุษ) ผีตาแฮก (เทวดารักษาไร่นา)  นำโดย “เฒ่าจ้ำ”  หรือ “ปู่จ้ำ”  (เรียกคนนำพิธี) ก็จะพาชาวบ้านนำข้าวปลาอาหาร สุรา มาเลี้ยงผีปู่ตาประจำหมู่บ้าน  ซึ่งปู่ตาแต่ละที่ก็จะมีอาหารพิเศษที่ตนเองชอบต่างกัน เช่น ปู่ตาอำเภอสุวรรณภูมิ  จังหวัดร้อยเอ็ด  กินควาย  ปู่ตาบ้านทุ่งใหญ่  อำเภอเขื่องใน  จังหวัดอุบลราชธานี  กินเต่า  แต่ส่วนมากจะใช้ไก่เป็นเครื่องเซ่น  เพื่อชำระไล่สิ่งเสนียดจัญไรออกจากหมู่บ้าน  พร้อมทั้งปกป้องคุ้มครองหมู่บ้านให้อยู่เย็นเป็นสุขความหมาย  คนกลุ่มนี้ยังนับถือผี  แต่ผีในความหมายของคนกลุ่มชาติพันธุ์ไท-ลาว  ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว  แต่จะเป็นผีประเภทปกปักรักษาคุ้มครองคนในหมู่บ้านชุมชนอยู่เย็นเป็นสุข  อีกทั้งให้คนในหมู่บ้านร่วมกันทำความสะอาดบ้านเรือนของตน  รวมถึงการทำความสะอาดที่สาธารณะ เช่น ศาลปู่ตาประจำหมู่บ้าน  ถนนหนทาง  ศาลากลางบ้าน  และการระลึกถึงบุญคุณของบรรพบุรุษผู้ล่วงลับ เป็นการกตัญญูรู้คุณ
8.  เดือนแปด บุญเข้าพรรษา  ทำบุญตักบาตรถวายภัตตาหารเช้าและเพลแก่พระสงฆ์  บ่ายมีการฟังพระธรรมเทศนา  กับมีการป่าวร้องให้ชาวบ้านนำขี้ผึ้งมาหล่อเทียนใหญ่น้อย  สำหรับจุดไว้ในโบสถ์เป็นพุทธบูชาตลอดฤดูกาลเข้าพรรษาความหมาย  เป็นพิธีทางพุทธศาสนาของสงฆ์ที่บัญญัติในพระธรรมวินัยว่าจะต้องจำพรรษาอยู่วัดในฤดูฝนตลอดเวลา  3  เดือนมิให้ไปค้างแรมที่อื่นนอกจากวัดของตน  ประชาชนทั่วไปก็จะทำเทียนเล่มใหญ่ไปถวายพระสงฆ์เพื่อจุดบูชาในโบสถ์ได้เป็นเวลา  3  เดือน  และเวียนเทียนรอบโบสถ์
9.  เดือนเก้า บุญข้าวประดับดิน  เป็นความเชื่อแต่โบราณว่าวันแรมสิบสี่ค่ำเดือนเก้าเป็นวันที่ยมบาลเปิดนรกปล่อยผีออกมาเยี่ยมญาติ  ดังนั้นจะต้องพากันทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับญาติพี่น้องผู้ล่วงลับไปแล้ว  โยการนำส่วนข้าวต้ม  ขนม  อาหารคาวหวาน  หมากพลู  บุหรี่ต่าง ๆ  ที่ทำใส่กระทงไปตั้งไว้ยังรอบวัด  หรือต้นไม้ใหญ่  และถวายภัตตาหารให้แก่พระสงฆ์สามเณร  และหยาดน้ำ (กรวดน้ำ) เพื่อทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับญาติผู้ล่วงลับไปแล้วความหมาย  การทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว หรือ ผีไม่มีญาติจะได้รับการแบ่งส่วนบุญนี้ด้วย  การทำบุญเดือนเก้าจึงไม่ได้ระบุชื่อผู้รับเหมือนกับบุญเดือนสิบ
10.  เดือนสิบ บุญข้าวสากหรือข้าวสารท  (สลากภัตร)  ในวันเพ็ญเดือนสิบ  เป็นการอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ตาย เช่นเดียวกับบุญข้าวประดับดิน  โดยมีเวลาห่างกัน  15  วันเป็นระยะเวลาที่พวกเปรตจะต้องกลับไปเมืองนรก (ตามนิทานชาดก) ผู้ที่จะถวายทานเขียน ชื่อของตนเองไว้ในภาชนะที่ใส่ของทานไว้  แล้วเขียนชื่อของตนใส่กระดาษอีกแผ่นหนึ่ง  นำไปใส่ลงในบาตร เมื่อพระภิกษุสามเณรรูปใดจับได้สลากของผู้ใด  ก็จะเรียกให้เจ้าของสลากนำเอาของถวาย  ครั้นพระเณรฉันแล้ว  ก็ฟังเทศน์ บรรยายนิทานวัตถุและภาษิต
ต่าง ๆความหมาย  คล้าย ๆ กับบุญข้าวประดับดิน  เพราะเป็นการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้วเช่นกัน  แต่จะแตกต่างกันตรงที่จะต้องเขียนชื่อคนที่ไปร่วมงานใส่ลงในบาตรพระเพื่อจับสลากนำถวาย  หากเป็นกลุ่มชาติพันธุ์เขมรจะเรียกประเพณีนี้ว่า “แซนโดนตา” ซึ่ง “แซน” ก็หมายถึงการเซ่น และ “โดนตา” หมายถึง ผีปู่ตาย่ายาย เป็นการระลึกถึงญาติที่ล่วงลับไปแล้ว
11.  เดือนสิบเอ็ด จะมีพิธีการหลัก 4 อย่าง คือ หนึ่งบุญออกพรรษาหรือสังฆะเจ้าออก     วัสสาปวรารณา  กระทำกันในวันขึ้น  15  ค่ำ  พระสงฆ์จะแสดงอาบัติ  ทำการปวารณา  คือการเปิดโอกาสให้ว่ากล่าวตักเตือนกันได้  ต่อมาก็ให้พระสงฆ์ผู้ใหญ่ให้โอวาทเตือนพระสงฆ์  ส่วนฆราวาสจะนำเอาธูปเทียนและดอกไม้ไปบูชาพระพุทธรูปหน้าโบสถ์  โดยทางวัดจะเตรียมรางไม้รูปพญานาคสำหรับให้ประชาชนนำธูปเทียนดอกไม้ไปปักไว้ สองแห่ต้นดอกเผิ่ง (แห่ปราสาทผึ้ง) เพื่อให้พระสงฆ์เก็บรวบรวมผึ้งเอาไว้ทำเทียนใช้ พร้อมกับการถวายข้าวของเครื่องใช้อื่น ๆ ให้กับพระสงฆ์อีกด้วย  สามการไหลเรือไฟ เพื่อบูชาพญานาคที่รักษาคุ้มครองแม่น้ำ และสี่การแข่งเรือ เพื่อให้แต่ละหมู่บ้านสามัคคีกันและสนุกสนานร่วมกันความหมาย  เป็นวันที่เตือนประชาชนให้ทราบว่าพระสงฆ์ได้ออกพรรษาแล้ว  ท่านจะได้ออกจากวัดไปจาริกแสวงบุญยังที่ต่าง ๆ หรือออกไปเทศนายังที่ต่าง ๆ ได้  ส่วนการแห่ปราสาทเผิ่ง (ผึ้ง) การไหลเรือไฟ และการแข่งเรือ เพื่อให้เกิดความสามัคคีในหมู่บ้าน  เกิดความรักและผูกพัน ภาคภูมิใจในหมู่บ้านของตน
12.  เดือนสิบสอง บุญกฐิน  ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันแรมหนึ่งค่ำเดือนสิบสอง  อัฎฐบริขารที่จำเป็นต้องทอดเป็นองค์กฐินจะขาดมิได้คือบาตร  สังฆาฎิ จีวร สบง มีดโกนหรือมีดตัดเล็บ สายรัดประคด  ผ้ากรองน้ำ  และเข็ม  และทำบุญอัฏฐะ  คือ  การถวายอัฏฐะบริขารแปดอย่างแก่พระสงฆ์บางครั้งก็ยังเพิ่มการทำบังสุกุลเพื่อทานข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ไปให้ญาติผู้ล่วงลับไปแล้วความหมาย  การทำบุญกฐินเป็นการทำบุญยิ่งใหญ่  หากตายไปแล้วจะไม่ตกนรก และ     ผลบุญที่ได้รับจะเก็บสะสมไว้ในชาติหน้า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น